วันนี้จะแนะนำหนังสือรวม 10 เล่มที่ในความเห็นส่วนตัวขอ
จะบอกก่อนว่า ทั้ง 10 เล่มนี้ไม่มีหนังสือภาษาไทย
วันนี้นำเสนอแต่ชื่อของเล่ม
One Up On Wall Street - Peter Lynch and John Rothchild
หนังสือที่แนะนำวันนี้ สำหรับนักลงทุนที่เน้นพื้นฐ
Lawrence Cunningham รวบรวม Letters to shareholders ที่ Warren Buffett เขียนถึงผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ทุกปี แล้วนำมาแบ่งเป็น section ตามเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน
หนังสือแนะนำวันนี้ น่าจะเป็นหนังสือที่ไม่เกี่
หลักการกลยุทธ์การแข่งขัน โด่งดังจากบทความและงานเขีย
นักลงทุนที่เน้นพื้นฐาน ไม่สมควรหมกมุ่นอยู่กับหนัง
สำหรับนักลงทุนที่เน้นพื้นฐ
แต่ถ้าจะศึกษา techinical analysis สำหรับหุ้นแล้ว ผมว่าหนังสือของ John J Murphy เล่มนี้เปรียบเป็น Bible ของเหล่าเด็กเทคนิคเลยทีเดี
คนที่สนใจศึกษาการลงทุนด้าน
หนังสือที่เกี่ยวกับการวิเค
ถ้ามีโอกาสหรือวาสนาได้ศึกษ
ด้วยความที่มันเป็นระดับ Bible มันจึงละเอียดมาก และหนามาก ๆ (ใหญ่หนาและหนักระดับ textbook) แต่บอกได้เลยว่าครบถ้วน
ถ้าอ่านไม่ไหว เล่มที่ดีมากพอทดแทนกันได้ค
ในความเชื่อของผมเอง การลงทุนคือการลงทุน ถ้าเปรียบศาสนาสอนให้คนนับถ ือเป็นคนดี ในการลงทุน จุดมุ่งหมายของนักลงทุนทุกค น ก็คือทำกำไร จะใช้วิธีใดก็ได้ถ้าไม่ผิดก ฏหมาย
ไม่ได้หลอกลวงชาวบ้านเขา แล้วทำกำไรได้ก็ใช้ไปเถอะ จะเชื่อแนวทางใด
พื้นฐาน, เทคนิค หรือดูดวง ดูดาว, ตามเมพตามเซียน, เฮโลเป็นกลุ่มก๊วน
ก็แล้วแต่ท่าน ต่างคนต่างมีหลักการที่ตนเอ งเชื่อว่าใช้แล้วกำไร เปล่าประโยชน์ที่จะอวดอ้างว ่าวิธีหรือความเชื่อของตน ดีที่สุด ถูกต้องอยู่แบบเดียว วิธีอื่นนั้นชั่วช้า แย่ สู้เราไม่ได้ นักลงทุนที่มีความคิดแบบนั้ น ไม่ต่างอะไรกับบรรดาพวกคลั่ งศาสนาที่ใจแคบ และก่อปัญหาวุ่นวายในโลกนี้ ไม่รู้จบ
หัวใจสำคัญ ขอให้ท่านเข้าใจถึงหลักการแ ละความเชื่อของตนเป็นอย่างด ี ว่ามันคืออะไร จุดดี จุดด้อย เป็นอย่างไร และตนเองได้ดำเนินตามแนวทาง นั้นหรือไม่ก็พอ
นอกจากแนวทางการลงทุนแบบเน้ นพื้นฐาน และเน้นเทคนิคแล้ว ยังมีการลงทุนอีกแนวที่นำเส นอโดย William O'Neil ซึ่งเน้นผสมผสานจุดแข็งของท ั้ง 2 แนวเข้าด้วยกัน และออกมาเป็นหลักการสำคัญ 7 ข้อในชื่อ CANSLIM ซึ่งดูเหมือนนักลงทุนบ้านเร าเริ่มมีคนใช้วิธีนี้มากขึ้ นเรื่อย ๆ
สำหรับบรรดาแฟนพันธุ์แท้ CANSLIM หนังสือเล่มนี้คือ Bible ของเขา เนื้อหาอธิบายที่มาของหลักก าร 7 ข้อ และการผสมผสานแนวคิดทางเทคน ิค เข้ากับหลักการพื้นฐาน ซึ่งนำมาใช้ได้ผลดีไม่แพ้กา รลงทุนแนวอื่น ๆ
น่าเสียดายที่มีนักลงทุน และนักวิเคราะห์หลายคน เอา CANSLIM แบบผิด ๆ มาเผยแพร่ ปู้ยี่ปู้ยำไปก็ไม่น้อย
ดังนั้น ถ้าอยากจะศึกษาและหวังจะเป็ น CANSLIMER กับเขาบ้าง ไม่มีเหตุผลที่จะไม่อ่านเล่ มนี้ แล้วท่านจะรู้ว่าไอ้ที่พูด เขียน โม้ กันในบทความ, เวบบอร์ด หรือตามสื่อต่าง ๆ มันใช่ CANSLIM จริงหรือไม่
หัวใจสำคัญ ขอให้ท่านเข้าใจถึงหลักการแ
นอกจากแนวทางการลงทุนแบบเน้
สำหรับบรรดาแฟนพันธุ์แท้ CANSLIM หนังสือเล่มนี้คือ Bible ของเขา เนื้อหาอธิบายที่มาของหลักก
น่าเสียดายที่มีนักลงทุน และนักวิเคราะห์หลายคน เอา CANSLIM แบบผิด ๆ มาเผยแพร่ ปู้ยี่ปู้ยำไปก็ไม่น้อย
ดังนั้น ถ้าอยากจะศึกษาและหวังจะเป็
นอกเหนือจากความรู้เกี่ยวกั บการลงทุนที่นักลงทุนควรมี ทั้งความรู้เกี่ยวกับการลงท ุนเน้นพื้นฐานของกิจการ หรือการลงทุนด้วยการวิเคราะ ห์ทางเทคนิค สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความส ำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือจิตวิทยาการลงทุน
ไม่ว่านักลงทุนจะศึกษาหาควา มรู้ด้านพื้นฐาน หรือเทคนิคมามากแค่ไหนก็ตาม ถ้าเขาเหล่านั้นไม่เข้าใจ และไม่มีความสามารถในการควบ คุมอารมณ์ของตนเอง รวมถึงไม่เข้าใจจิตวิทยาของ นักลงทุนในตลาดโดยรวมแล้ว พวกเขาก็หนีไม่พ้นที่จะกลาย เป็นเหยื่ออยู่วันยังค่ำ ในตลาดหุ้น สถานที่รวมคนที่มีจุดประสงค ์ร่วมกันคือ ทำกำไร แต่ในความจริงนั้นคนส่วนใหญ ่จะต้องขาดทุนอย่างแน่นอน แม้ในปัจจุบันนักลงทุน มีความรู้เกี่ยวกับตลาดทุน และการลงทุนมากขึ้นกว่าแต่ก ่อน มีแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการล งทุนที่สามารถเข้าถึงได้ง่า ย แต่สัดส่วนของคนที่ทำกำไรจา กตลาดก็แทบไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุผลเดียวคือ มนุษย์ไม่เคยเปลี่ยน
George Soros คืออดีตเจ้าพ่อ hedge fund โลกที่นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ร ู้จักในฐานะผู้โจมตีค่าเงิน บาทจนประเทศไทยต้องประสบชะต ากรรมจากวิกฤติต้มยำกุ้งเมื ่อ 16 ปีก่อน แต่ผมเชื่อว่าน้อยคนนักที่เ คยศึกษา และเข้าใจแนวคิดเบื้องหลังก ารโจมตีค่าเงินของเขา แม้ว่า Soros ได้อธิบายหลักการของเขาผ่าน หนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ปี 1988
แม้หลักสูตร ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และการเงิน ตั้งอยู่บนสมมติฐานความเป็น เหตุเป็นผลของมนุษย์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อคติ, ความโลภ, และ ความกลัวของมนุษย์ บดบังความมีเหตุผลของมนุษย์ อยู่เสมอ นี่เป็นที่มาของ Reflexivity อันโด่งดังในปัจจุบัน
หนังสือเล่มนี้อธิบายที่มาข อง
Reflexivity และ Reflexive Process ของตลาดทุน และยกตัวอย่างของ Boom-Bust
Cycle ในตลาดหุ้น และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อธิบายด้วย Reflexivity
คนที่ไม่เคยมีพื้นฐานเรื่อง จิตวิทยาอาจจะเข้าใจได้ยากห น่อย แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราเข้าใจม ัน เราจะเข้าใจพฤติกรรมที่เกิด ขึ้นในตลาดได้ดีขึ้น
การพูดถึง Reflexivity อาจจะดูเท่ห์ และผมเห็นนักลงทุนหลายคนเอา คำ ๆ นี้ไปโม้ก็ไม่น้อย แต่ถ้าไม่เคยอ่านหนังสือเล่ มนี้
(หรือเล่มอื่น ๆ ของ Soros ที่ออกมาภายหลัง แต่เกี่ยวโยงกัน เช่น The New
Paradigm for Financial Markets) ผมไม่เชื่อว่าสิ่งที่คนเหล่ านั้นเข้าใจนั้น คือความเข้าใจจริง
ไม่ว่านักลงทุนจะศึกษาหาควา
George Soros คืออดีตเจ้าพ่อ hedge fund โลกที่นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ร
แม้หลักสูตร ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และการเงิน
หนังสือเล่มนี้อธิบายที่มาข
การพูดถึง Reflexivity อาจจะดูเท่ห์ และผมเห็นนักลงทุนหลายคนเอา
เวลานักลงทุนบอกว่าตัวเองเป ็นนักลงทุนเน้นพื้นฐาน (หรือเน้นคุณค่า/ VI) หรือเป็นเด็กเทคนิค เราได้ยินก็อาจจะไม่น่าตื่นเต้นอะไรนัก คงเป็นเพราะว่าทั้งสองค่ายเ ป็นหลักการสำคัญในการลงทุนม านาน และเติบโตมีสาวกอยู่มากมาย ใคร ๆ ก็ใช้กัน
แต่เวลามีใครซักคนพูด 'fund flow' นักลงทุนทั่วไปได้ยินแล้วก็ อาจจะตื่นเต้น โอ้โห เทพ เจ๋ง ฯลฯ เพราะว่ามันดูเท่ห์, ดูว่ามันเป็นขั้นสูง หรือเป็นเพราะว่ามันน่าสนใจ อย่างนั้นจริง ๆ ก็สุดแท้แต่
ในความเป็นจริงแล้ว การศึกษาความรู้ และติดตามข้อมูล fund flow นั้นไม่ง่าย อันที่จริงต้องพูดว่า มันยากกว่าการศึกษาทางเทคนิ ค และทางพื้นฐานหลายเท่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อมูลที ่จะติดตามมักมีหลากหลายมาก มีความซับซ้อน และข้อมูลหลาย ๆ ตัวมักต้องได้จากบริการทางพ าณิชย์ เช่น Bloomberg หรือ Reuters ซึ่งนักลงทุนทั่วไปมีโอกาสเ ข้าถึงได้ยาก
อีกเหตุหนึ่ง ก็คือการทำความเข้าใจกับมัน ทำได้ยากกว่า คนที่จะเข้าใจต้องเข้าใจพื้ นฐานเศรษฐศาสตร์, เข้าใจกลไกการไหลของสภาพคล่ อง และต้องเข้าใจว่า indicator ตัวหนึ่ง ๆ มันมีความหมายว่าอะไร
นอกจากนี้หนังสือที่จะศึกษา เกี่ยวกับศาสตร์นี้ก็หายาก เล่มนี้ก็ชี้ภาพของ fund flow ได้ระดับหนึ่งที่เกี่ยวข้อง กับเหตุการณ์เฉพาะเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ถ้านักลงทุนเข้าใจหลักกา รที่หนังสือเล่มนี้แล้ว ก็น่าจะสามารถประยุกต์ใช้กั บการมองภาพใหญ่ได้
หนังสือนี้เขียนโดย Mohamed El-Erian อดีต CEO ของ Harvard Management Company ซึ่งทำหน้าที่บริหารเงินทุน ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมูล ค่า 3 หมื่น 5 พันล้านเหรียญ ก่อนจะย้ายมาทำงานในตำแหน่ง Co-CEO และ Co-CIO ของ PIMCO บริษัทผู้บริหารกองทุน Total Return Fund กองทุนตราสารหนี้ที่มีขนาดใ หญ่ที่สุดในโลก (ราว 8 แสนล้านเหรียญ)
El-Erian อธิบายการเปลี่ยนแปลงของระบ บการเงินโลกจากพื้นฐานเศรษฐ กิจที่เปลี่ยนไประหว่างประเ ทศพัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนา ความผิดปกติในเงินทุนของประ เทศ 2 กลุ่มนี้ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ความบกพร่องของการควบคุม การบริหารเงินของสถาบันการเ งินต่าง ๆ, จุดอ่อนของตราสารหนี้ชนิดให ม่ที่เรียกว่า structured investment vehicles (SIV) ที่กลายเป็นอาวุธทำลายล้างว งการการเงินโลก เป็นต้น
When Markets Collide เล่มนี้เปิดโลกทรรศน์และควา มรู้
ความเข้าใจใหม่ ๆ ของระบบการเงินโลก และปัญหาของ Subprime ที่นำไปสู่
Hamburger crisis ได้ลึกซึ้งกว่าที่เคยรู้มา ไม่น่าแปลกใจเลยที่หนังสือเ ล่มนี้จะได้รับการตัดสินให้ ได้รับรางวัล Goldman Sachs/Financial Time Book of the Year 2008
คนที่สนใจอ่านหนังสือเล่มนี ้ ควรจะมีความรู้พื้นฐานเกี่ย วกับการเงิน และเศรษฐกิจมหภาคนิดหน่อย เพราะมีศัพท์แสงเทคนิคอยู่บ ้าง แต่เนื้อหาในเล่มไม่ยากเกิน กว่านักลงทุนผู้สนใจและมีคว ามสามารถทางภาษาอังกฤษพอสมค วร
อ่านแล้วจะเข้าใจว่าทำไมเล่ มนี้ถึงได้ book of the year
แต่เวลามีใครซักคนพูด 'fund flow' นักลงทุนทั่วไปได้ยินแล้วก็
ในความเป็นจริงแล้ว การศึกษาความรู้ และติดตามข้อมูล fund flow นั้นไม่ง่าย อันที่จริงต้องพูดว่า มันยากกว่าการศึกษาทางเทคนิ
อีกเหตุหนึ่ง ก็คือการทำความเข้าใจกับมัน
นอกจากนี้หนังสือที่จะศึกษา
หนังสือนี้เขียนโดย Mohamed El-Erian อดีต CEO ของ Harvard Management Company ซึ่งทำหน้าที่บริหารเงินทุน
El-Erian อธิบายการเปลี่ยนแปลงของระบ
When Markets Collide เล่มนี้เปิดโลกทรรศน์และควา
คนที่สนใจอ่านหนังสือเล่มนี
อ่านแล้วจะเข้าใจว่าทำไมเล่
ในบรรดาหนังสือที่แนะนำทั้ง หมด เล่มนี้น่าจะเป็นเล่มที่อ่า นยาก และเข้าใจยากที่สุด ผมใช้เวลา 3 เดือนกว่าจะอ่านเล่มนี้จบ
หนังสือของ NNT เล่มนี้เป็น New York Time Bestseller และ Amazon Bestseller อยู่นานหลายสัปดาห์ แต่เป็นหนังสือที่อ่านยาก มีศัพท์แสงประหลาดอยู่ไม่น้ อย
สำหรับคนที่ไม่กล้าอ่าน ผมแนะนำให้อ่าน Fooled by Randomness
โดยผู้นิพนธ์ท่านเดียวกัน ซึ่งอ่านง่ายกว่า เข้าใจว่ามีคนแปลเล่มดังกล่ าวเป็นภาษาไทยแล้ว ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าแปลได้ดีไ หมเพราะไม่เคยอ่าน แต่ผมไม่คิดว่าจะมีใครแปล The Black Swan เป็นภาษาไทยได้อย่างง่ายดาย เพราะคนแปลต้องมีความรู้เกี ่ยวกับตลาดการเงิน, เรื่องคณิตศาสตร์ และปรัชญาพอสมควร
ก่อนการค้นพบทวีปออสเตรเลีย นักวิทยาศาสตร์ทุกคนเชื่อว่ าหงส์ทุกตัวมีสีขาว (เป็นที่มาของคำกล่าวว่า All swans are white ซึ่งมีความหมายเปรียบว่านี่ คือ
ความจริงของธรรมชาติ) จนกระทั่งมีคนเจอ black swan ในปี 1697
บริเวณที่เป็นเมือง Perth ในปัจจุบัน. The Black Swan
นำเสนอเหตุการณ์ที่มีผลกระท บสำคัญและคุณสมบัติของเหตุก ารณ์ที่เข้าข่าย Black Swan ได้น่าสนใจมาก
ลักษณะของ Black Swan ที่สำคัญมี 3 อย่างคือ
1. Rarity/Highly unexpected เหตุการณ์นี้ต้องหายาก และมักคาดไม่ถึง
2. Extreme impact เหตุการณ์นี้มีผลกระทบชัดเจ นและรุนแรง
3. Retrospective predictability ถ้ามองย้อนหลังกลับไป เราอาจจะเข้าใจหรืออธิบายได ้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
และ black swan event นี้เองที่ทำให้เราเข้าใจว่า โมเดลทางสถิติ และการกระจายตัวแบบสุ่ม (random distribution หรือ bell curve) ใช้ไม่ได้กับเหตุการณ์เหล่า นี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนควร ทราบและระมัดระวังไว้เสมอ
หนังสือของ NNT เล่มนี้เป็น New York Time Bestseller และ Amazon Bestseller อยู่นานหลายสัปดาห์ แต่เป็นหนังสือที่อ่านยาก มีศัพท์แสงประหลาดอยู่ไม่น้
ก่อนการค้นพบทวีปออสเตรเลีย
ลักษณะของ Black Swan ที่สำคัญมี 3 อย่างคือ
1. Rarity/Highly unexpected เหตุการณ์นี้ต้องหายาก และมักคาดไม่ถึง
2. Extreme impact เหตุการณ์นี้มีผลกระทบชัดเจ
3. Retrospective predictability ถ้ามองย้อนหลังกลับไป เราอาจจะเข้าใจหรืออธิบายได
และ black swan event นี้เองที่ทำให้เราเข้าใจว่า
มีคนเคยบอกตั้งแต่สมัยผมเริ ่มเข้ามาลงทุนใหม่ ๆ ว่าการที่นักลงทุนจะประสบคว ามสำเร็จ สามารถทำกำไรได้จากตลาดอย่า งยั่งยืน ความรู้ที่เกี่ยวกับการลงทุ นทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นความรู้พื้นฐาน กิจการ, งบการเงิน, เศรษฐศาสตร์, การเงิน, เทคนิค เป็นของสำคัญ ... แต่จริงอยู่ที่ว่าความรู้เห ล่านี้เสมือนเครื่องมือจำเป ็น เป็นอาวุธที่เราจะใช้ในการท ำศึกในตลาด ปราศจากมันโอกาสที่เราจะชนะ ก็คงยาก ...
แต่ถ้าความรู้พื้นฐานทั้งหลาย สามารถทำให้คนอ่าน ได้รู้ เข้าใจ แล้วก็ทำกำไรในตลาดได้ง่ายแ บบนั้น ในโลกนี้คงแทบไม่มีใครขาดทุ น
นักลงทุนหน้าใหม่หลายคนอาจจ ะเห็นแย้ง แต่เมื่อประสบการณ์ของท่านส ั่งสมมากขึ้น โดยอยู่รอดได้ไม่หายตายจากไ ปเสียก่อน ท่านจะเข้าใจได้เองว่า ความรู้เหล่านี้มีส่วนไม่ถึ งครึ่ง แต่สิ่งสำคัญยิ่งไปกว่าความ รู้เหล่านี้ คือตัวเราเอง เพราะเราต่างหากที่เป็นผู้ป ระมวลข้อมูลที่ได้มาจากที่ต ่าง ๆ จนได้การตัดสินใจของเราเองใ นการซื้อ, ถือ หรือขายหุ้น เพื่อทำกำไรและอยู่รอดในตลา ด
ความเข้าใจในจิตวิทยาของนัก ลงทุนใดก็ไม่เท่าความเข้าใจ ในตัวเอง ผมได้หนังสือเล่มนี้จากน้อง ที่เคารพท่านหนึ่งเมื่อปีเศ ษ เป็นหนังสือที่เขียนโดย Michael Martin และคำนิยมโดย Ed Seykota ซึ่งเป็นหนึ่งในสุดยอดระดับ โลก แต่นักลงทุนไทยน้อยคนจะรู้จ ัก เป็นหนังสือที่เปิดโอกาสให้ เราเข้าใจจิตวิทยาพื้นฐานขอ งนักลงทุน จิตวิทยาของตนเอง และอธิบายว่าเหตุใดสิ่งนี้จ ึงสำคัญมากในการลงทุนให้ประ สบผลสำเร็จ
เป็นหนังสือที่อ่านง่าย เล่มบาง ๆ เพียงร้อยกว่าหน้า แต่เนื้อหาสุดยอดมาก แค่บทต่อจาก Introduction ที่ชื่อ "Surrender" บทเดียวก็คุ้มค่ายิ่งกว่าอ่ านหนังสือการลงทุนขยะ ๆ ที่ขายกันในร้านหนังสือไทยห ลายเท่านัก
แต่ถ้าความรู้พื้นฐานทั้งหลาย สามารถทำให้คนอ่าน ได้รู้ เข้าใจ แล้วก็ทำกำไรในตลาดได้ง่ายแ
นักลงทุนหน้าใหม่หลายคนอาจจ
ความเข้าใจในจิตวิทยาของนัก
เป็นหนังสือที่อ่านง่าย เล่มบาง ๆ เพียงร้อยกว่าหน้า แต่เนื้อหาสุดยอดมาก แค่บทต่อจาก Introduction ที่ชื่อ "Surrender" บทเดียวก็คุ้มค่ายิ่งกว่าอ่
ประโยคแรกของคำนำหนังสือชื่ อ Trading in the Zone เขียนโดย Mark Douglas กล่าวไว้น่าสนใจ และเหมาะกับสถานการณ์ตลาดใน ปัจจุบันอย่างยิ่ง
"The great bull market in stocks has led to an equally great bull market in the number of books published on the subject of how to make money trading the markets"
แต่ไม่ทราบว่ามีท่านใดเคยสั งเกตว่า หนังสือการลงทุนที่เยี่ยมยอ ด คุ้มค่ากับเงินและเวลาที่เส ียไปในการอ่าน และเหมาะกับการเก็บไว้ในชั้นหน ังสือที่บ้าน แถมยังสามารถเอามาอ่านซ้ำได ้หลายรอบ ... มีน้อยมาก
ที่เป็นเช่นนี้ ผมเข้าใจว่ามีเหตุผล 2-3 ข้อ
1. หนังสือที่สุดยอด ต้องเขียนโดยนักลงทุนที่พิส ูจน์ตัวเองมาแล้วว่ามีฝีมือ จริง และมีประสบการณ์นานพอสมควรท ี่จะยืนยันได้ว่าคน ๆ นั้นมีฝีมือดังว่า เพราะหนังสือที่ดี ไม่ใช่การหยิบขี้ปากคนอื่นเ ขามาพูด หรือคัด ๆ ลอก ๆ คนอื่นเอามาใส่กลายเป็นของต น แต่เนื้อหาต้องกลั่นมาจากแน วคิดและประสบการณ์ส่วนตัวขอ งผู้เขียน
2. นักลงทุนที่เก่ง ๆ เหล่านั้น ต้องมีความสามารถในการเขียน และสื่อสารพอสมควร จึงจะสามารถเรียบเรียงแนวคิ ดและประสบการณ์ของเขาออกมาเ ป็นตัวหนังสือให้คนอ่านเข้า ใจได้ดี หนังสือดี ๆ เล่มหนึ่งกว่าจะออกมาได้ใช้ เวลานานเป็นปี
3. และเหนืออื่นใด นักลงทุนเหล่านั้น มีจุดประสงค์ที่จะเผยแพร่คว ามรู้และแนวคิดของเขาให้เป็ นความรู้กับคนอื่นเป็นสำคัญ เขาทำเพราะเขามี passion เขาอยากทำ เขาไม่มีความต้องการที่จะสร ้างความร่ำรวยจากหนังสือ, ไม่ต้องการมีชื่อเสียง หรือไม่ต้องการหาเงินการจัด สัมนา ออกสื่อ หรือจัดคอร์สอบรมอะไร เพราะนักลงทุนที่เก่งจริง เขาสร้างความมั่งคั่งจากตลา ด ไม่ใช่จากสิ่งเหล่านี้
"Successful traders are primarily going to be focused on trading rather than writing about trading or marketing trading services" - Nadeem Walayat
ดังนั้นการที่เราเห็นหนังสื อที่เกี่ยวกับการลงทุนมากมา ยในท้องตลาด ไม่ได้หมายความว่าผู้เขียนท ี่มีผลงานเหล่านั้นจะต้องเป ็นนักลงทุนที่เก่งกาจเสมอ ในขณะเดียวกัน นักลงทุนที่มีฝีมือระดับสุด ยอดส่วนใหญ่ ก็เลือกที่จะไม่เสียแรง เสียเวลาอย่างมากมาย ไปกับการเขียนหนังสือออกมาใ ห้เราได้อ่าน เพราะเวลาของเขามีค่ามาก เขาเอาเวลาไปหาเงินจากตลาดไ ด้มากกว่าหลายเท่า ทำให้เรามีโอกาสได้ทราบ หรือเรียนรู้แนวคิดจากนักลง ทุนสุดยอดระดับพระกาฬตัวจริ งได้น้อยมาก
นับว่าเป็นโชคดี ที่ Jack Schwager ได้ริเริ่มแนวคิดการไปติดต่ อสัมภาษณ์นักลงทุนที่เยี่ยม ยอด และตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือ ให้เราได้อ่าน ถ้าปราศจากหนังสือเล่มนี้ เราอาจไม่รู้จักและไม่มีโอก าสได้ศึกษาแนวคิดและประสบกา รณ์จริงของนักลงทุนระดับโลก อย่าง Ed Seykota, Larry Hite, Paul Tudor Jones, Jim Rogers, William O'Neil หรือ Micheal Marcus เลย
ไม่น่าเชื่อว่าหนังสือเล่มแ รกของ series นี้คือ Market Wizards - Interviews with Top Traders มีอายุครบ 25 ปีในปีนี้ ยังมีเนื้อหา/ แนวคิดจากนักลงทุนมากมาย ที่ยังคงทันสมัยไม่เสื่อมคล าย และได้อะไรใหม่ ๆ เสมอจากการอ่านซ้ำ
(ป.ล. หนังสือที่เขียนโดย William O'Neil และ Jim Rogers เอง ตีพิมพ์หลังจากเล่มนี้หลายป ี)
"The great bull market in stocks has led to an equally great bull market in the number of books published on the subject of how to make money trading the markets"
แต่ไม่ทราบว่ามีท่านใดเคยสั
ที่เป็นเช่นนี้ ผมเข้าใจว่ามีเหตุผล 2-3 ข้อ
1. หนังสือที่สุดยอด ต้องเขียนโดยนักลงทุนที่พิส
2. นักลงทุนที่เก่ง ๆ เหล่านั้น ต้องมีความสามารถในการเขียน
3. และเหนืออื่นใด นักลงทุนเหล่านั้น มีจุดประสงค์ที่จะเผยแพร่คว
"Successful traders are primarily going to be focused on trading rather than writing about trading or marketing trading services" - Nadeem Walayat
ดังนั้นการที่เราเห็นหนังสื
นับว่าเป็นโชคดี ที่ Jack Schwager ได้ริเริ่มแนวคิดการไปติดต่
ไม่น่าเชื่อว่าหนังสือเล่มแ
(ป.ล. หนังสือที่เขียนโดย William O'Neil และ Jim Rogers เอง ตีพิมพ์หลังจากเล่มนี้หลายป
เห็นท่านมารขาว Manop Pithukpakom แนะนำหนังสือที่นักลงทุนพื้ นฐานควรอ่านไปแล้ว วันนี้ขอทำตัวเป็นประโยชน์บ ้าง หลังจากไร้สาระไปหลายวัน อิ อิ
เนื่องจากวิธีสร้างผลตอบแทน ในตลาดหุ้นนั้นมีหลายวิธี ไม่ว่าจะใช้พื้นฐาน เทคนิค หรือ จิตวิทยาก็ตาม แล้วแต่จะหยิบมาใช้กันตามคว ามถนัดและถูกจริตของแต่ละคน ...
เนื่องจากพื้นฐานของผมเป็นค นปอดแหกมาตั้งแต่เด็กๆ จึงไม่ค่อยชอบเสี่ยง ขับรถก็ช้า ทำอะไรก็งุ่มง่าม เวลามาลงทุนจึงปอดแหกไปด้วย จึงเลือกที่จะต้องรู้ให้แน่ ใจก่อนว่าโอกาสพลาดน้อยจึงล งมือ ทั้งนี้เพราะไม่อยากต้องมาน ั่งเสียเวลาแก้ไขทีหลัง...
ตามแนวของผมคือ ลงทุนในบริษัทที่มีข้อได้เป รียบในการแข่งขัน และสร้างมูลค่า...
หนังสือ 2 เล่มนี้ ผมแนะนำไปแล้ว แต่วันนี้จะมาบอกว่า ของมันคู่กัน ...
เล่มสีแดงนี้ขยายและทำให้แน วคิดด้านการแข่งขันของ Porter ง่ายขึ้น มีกรณีศึกษาที่ขยายความเอาไ ว้ชัดเจน...ใครอ่านPorter แล้วมีประเด็นสงสัย อ่านจากเล่มนี้จะกระจ่างขึ้ น และออกนอกกรอบความคิดเดิมๆท ี่หลายๆคนนำมาใช้และติดหนึบ อยู่กับมัน...
เล่มปกสีขาวนี้ ชื่อเรื่องอาจไม่สอดคล้องกั บเล่มแรก แต่ความเป็นจริงมีเนื้อหากล ่าวถึงสองประเด็นคือ ผลกระทบจากโลกาภิวัฒน์ที่มี ต่อการจ้างงาน บริษัท กับความสามารถในการแข่งขันข องบริษัทที่จะต้องพบกับกระแ สโลกาภิวัฒน์ เอาเข้าจริงๆแล้วเล่มนี้ขยา ยความเล่มแรกอย่างชัดเจนทีเ ดียว แถมด้วยบทที่พูดถึง ปัญหาที่แท้จริงของระบบการเ งินของโลกจากมุมมองประวัติศ าสตร์(หนังสือไม่ได้บอกว่าแ ก้ได้อย่างไร เพราะมันเป็นเรื่องผลประโยช น์ของกลุ่มประเทศสองขั่ว)
ต้องบอกว่า ใครไม่ได้อ่าน สองเล่มนี้ จะเข้าใจธุรกิจและผลกระทบจา กระบบเศรษฐกิจได้ไม่ง่ายนัก ...
เนื่องจากวิธีสร้างผลตอบแทน
เนื่องจากพื้นฐานของผมเป็นค
ตามแนวของผมคือ ลงทุนในบริษัทที่มีข้อได้เป
หนังสือ 2 เล่มนี้ ผมแนะนำไปแล้ว แต่วันนี้จะมาบอกว่า ของมันคู่กัน ...
เล่มสีแดงนี้ขยายและทำให้แน
เล่มปกสีขาวนี้ ชื่อเรื่องอาจไม่สอดคล้องกั
ต้องบอกว่า ใครไม่ได้อ่าน สองเล่มนี้ จะเข้าใจธุรกิจและผลกระทบจา
Credit : 10 เล่มแรก พี่หมอ mprandy 2 เล่มสุดท้ายอาจารย์ Montri Nipitvittaya
No comments:
Post a Comment